เสาไฟล่อฟ้าทำงานอย่างไร?

เสาไฟล่อฟ้าทำงานอย่างไร

เสาไฟล่อฟ้า (Lightning Protection System) ทำงานอย่างไร?

เสาล่อฟ้า ฟ้าผ่าเป็นหนึ่งในพลังงานธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในโลก สามารถสร้างความเสียหายให้กับอาคาร เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และชีวิตมนุษย์ได้ภายในเสี้ยววินาที แต่สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดมาตลอดคือ เสาไฟล่อฟ้าไม่ได้มีหน้าที่ “ล่อให้ฟ้าผ่า” ลงมาความจริงแล้ว ระบบป้องกันฟ้าผ่าถูกออกแบบมาเพื่อ ควบคุมเส้นทางของกระแสฟ้าผ่าให้ไหลลงดินอย่างปลอดภัย และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออาคารและระบบไฟฟ้าภายใน โดยอาศัยหลักการทางฟิสิกส์และวิศวกรรมที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล เช่น IEC 62305, NFPA 780 เป็นต้นเสาไฟล่อฟ้าทำงานอย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และทำไมการมีระบบที่ถูกต้องจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกอาคาร ตั้งแต่บ้านพักจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม

เสาไฟล่อฟ้าคืออะไร? ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม

เสาไฟล่อฟ้า (Lightning Rod หรือ Air Terminal) คืออุปกรณ์โลหะที่ติดตั้งบนจุดสูงสุดของอาคารหรือโครงสร้าง ทำหน้าที่เป็น จุดแรกที่ฟ้าผ่าเลือกตกลงมา ไม่ใช่เพื่อ “ดึงดูดฟ้า” แต่เพื่อให้กระแสไฟฟ้าเดินทางผ่านเส้นทางที่ถูกเตรียมไว้โดยเฉพาะ

ทำไมฟ้าถึงเลือกตกที่เสาไฟล่อฟ้า?

ก่อนเกิดฟ้าผ่า จะมีการสะสมประจุไฟฟ้าระหว่างพื้นดินและก้อนเมฆ เมื่อประจุแตกต่างกันมากพอ จะเกิดการคายประจุ (ฟ้าผ่า) โดยฟ้าจะเลือกตกที่

      • จุดที่สูงที่สุด
      • จุดที่มีการนำไฟฟ้าดีที่สุด
      • จุดที่มี “เส้นทางลงดิน” ที่ง่ายที่สุด

เสาไฟล่อฟ้าจึงทำหน้าที่ ดักจับ (Intercept) ฟ้าผ่าที่จะเกิดในบริเวณนั้นและนำเข้าสู่ระบบป้องกันอย่างเป็นระบบ

ส่วนประกอบ 3 ส่วนของระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ถูกต้อง

การติดตั้งเพียง “เสาเหล็ก” ไม่ถือว่าเป็นระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบที่สมบูรณ์ต้องมี 3 ส่วน ทำงานร่วมกันแบบเป็นโครงข่าย

1.ตัวรับฟ้าผ่า (Air Terminal / Lightning Rod)

ติดตั้งบนยอดอาคาร เสาสูง หลังคา หรือโครงสร้างอื่น

    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับพลังงานฟ้าผ่า
    • อาจมีหลายแบบ เช่น Rod Type, ESE (Early Streamer Emission), Mesh System

2.ตัวนำลงดิน (Down Conductor)

สายโลหะนำไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ส่วนมากใช้ทองแดง)

    • นำพากระแสฟ้าผ่าที่แรงมากลงสู่พื้นดิน
    • ติดตั้งด้านข้างอาคารหรือภายในผนัง
    • ต้องมีหลายเส้นตามขนาดอาคารเพื่อลดความต้านทาน

ข้อกำหนดทั่วไป

    • ใช้ทองแดง 35–70 mm²
    • เดินสายสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • ห้ามมีมุมหักคมเพราะกระแสฟ้าผ่าอาจกระโดดออก
    1. ระบบรากสายดิน (Earthing / Grounding System)

3.องค์ประกอบสำคัญที่สุดของระบบทั้งหมด

    • กระจายพลังงานฟ้าผ่าลงสู่ดินอย่างรวดเร็ว
    • ป้องกันกระแสย้อนกลับ (Back Flash)
    • ใช้แท่งกราวด์หลายต้นเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย

มาตรฐานแนะนำ:

    • ค่าความต้านทานดิน 10 โอห์ม สำหรับระบบฟ้าผ่า
    • ยิ่งต่ำยิ่งดี (พื้นที่ดินชื้นอาจได้ 1–5 โอห์ม)

หลักการทำงานของระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบเข้าใจง่าย

แม้ฟ้าผ่าจะมีแรงดันสูงระดับ ล้านโวลต์ แต่กระบวนการจัดการโดยระบบ LPS มีดังนี้

    1. ฟ้าถูกดักจับโดยตัวรับฟ้าผ่า

เนื่องจากเป็นจุดสูงที่สุดและเป็นตัวนำที่ดีที่สุด

    1. กระแสฟ้าผ่าไหลลงตามตัวนำลงดิน (Down Conductor)

ลดโอกาสที่ฟ้าจะกระโดดไปยังส่วนอื่นของอาคาร

    1. ระบบรากสายดินกระจายพลังงานสู่ดิน

ทำให้กระแสฟ้าผ่าถูกปล่อยออกอย่างปลอดภัย

ทำงานครบทุกส่วน = อาคารรอด
ขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง = เสี่ยงเสียหายสูง

หลักการออกแบบที่วิศวกรใช้ เช่น Rolling Sphere Method

หนึ่งในหลักการที่แม่นยำที่สุดคือ Rolling Sphere Method ตามมาตรฐาน IEC 62305

หลักการ:

สมมติให้มี “ลูกบอลขนาดใหญ่” กลิ้งบนอาคาร

    • ถ้าลูกบอลสัมผัสส่วนไหน แปลว่าส่วนนั้นยังไม่ถูกป้องกัน
    • เสาไฟล่อฟ้าต้องติดตั้งให้ลูกบอลไม่สามารถสัมผัสโครงสร้างได้
    • รัศมีลูกบอลขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยง เช่น
      • 30 m (ระดับสูงมาก)
      • 45 m
      • 60 m

นี่คือวิธีที่ใช้กำหนดจำนวนและความสูงของเสาไฟล่อฟ้าอย่างแม่นยำที่สุด

ความสำคัญของค่าความต้านทานดิน (Earth Resistance)

กระแสฟ้าผ่าอาจสูงถึง

    • 30,000 – 200,000 แอมป์

ถ้าความต้านทานดินสูงเกินไป จะเกิด

    • กระแสย้อนกลับเข้าหาอาคาร
    • ความร้อนสะสมใต้ดิน
    • การละลายของสายดิน
    • ความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้า

ดังนั้นจึงต้อง

    • เพิ่มจำนวนแท่งกราวด์
    • ใช้น้ำยาปรับสภาพดิน (Ground Enhancing Compound)
    • ทำลูปกราวด์ (Ground Ring) รอบอาคาร

ผลกระทบรองที่ต้องป้องกันด้วย (Secondary Lightning Effects)

แม้ฟ้าจะไม่ผ่าตรงอาคาร ก็ยังเสี่ยงจากผลกระทบรอง ได้แก่:

  1. แรงดันไฟฟ้ากระชาก (Surge) เข้าสู่ระบบไฟฟ้า

อาจเกิดจาก

    • ฟ้าผ่าใกล้เคียง
    • ฟ้าผ่าเสาไฟฟ้า
    • ฟ้าผ่าสายสื่อสาร

สามารถทำลาย

    • คอมพิวเตอร์
    • ตู้ควบคุมระบบ
    • อุปกรณ์อุตสาหกรรม
    • ระบบเครือข่าย

การป้องกัน:
ติดตั้ง SPD (Surge Protective Device) ที่

    • ตู้เมน (Main Panel)
    • ตู้ย่อย
    • ระบบสื่อสาร
  1. ความร้อนและการละลายของวัสดุ

สายตัวนำที่เล็กเกินไปอาจละลายจนเกิดไฟไหม้

  1. Back Flash และ Side Flash

กระแสฟ้าผ่าอาจกระโดดจากสายลงดินไปยังโลหะใกล้เคียง เช่น

    • ท่อน้ำ
    • โครงหลังคา
    • ท่อดักลม

การติดตั้งต้องคำนึงถึงระยะปลอดภัยเสมอ

วัสดุที่ใช้ในระบบฟ้าผ่า (ให้ข้อมูลลึกขึ้น)

ตัวนำ (Conductor)

    • ทองแดงบริสุทธิ์
    • สายทองแดงตีเกลียว
    • Flat Copper Bar
    • อะลูมิเนียม (พื้นที่บางแห่ง)

ตัวรับฟ้าผ่า

    • Rod Type (แบบแท่งยอดแหลม)
    • ESE (Early Streamer Emission) สำหรับพื้นที่กว้าง
    • Mesh / Faraday Cage สำหรับอาคารสูง

ระบบกราวด์

    • แท่งกราวด์ทองแดง
    • เคมีกราวด์ (Ground Rod Chemical)
    • Ground Enhancement Material (GEM)

ทุกชนิดต้องตามมาตรฐาน UL, IEC, TIS

บทสรุป

การป้องกันฟ้าผ่าไม่ใช่แค่การติดตั้งเสาให้ฟ้าผ่าใส่ แต่คือการสร้าง “เส้นทางปลอดภัย” สำหรับกระแสฟ้าผ่าที่มีพลังงานมหาศาล ระบบป้องกันฟ้าผ่าที่ถูกออกแบบอย่างถูกต้องประกอบด้วย

    • ตัวรับฟ้าผ่า
    • ตัวนำลงดิน
    • ระบบกราวด์
    • และ SPD เพื่อป้องกันระบบไฟฟ้าภายใน

หากออกแบบเป็นระบบครบถ้วน จะสามารถป้องกัน

    • ไฟไหม้
    • การเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้า
    • การหยุดชะงักของระบบผลิต
    • ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

สรุปง่าย ๆ: “เสาไฟล่อฟ้าไม่ได้ดึงดูดฟ้า แต่จัดการเส้นทางของฟ้าให้ปลอดภัย และลดความเสี่ยงของความเสียหายทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด”

NINELED แสงสว่างที่คุณวางใจได้ จากแบรนด์ที่คุณเลือก พื้นที่รวมแบรนด์ชั้นนำ ให้คุณเลือกซื้อไม่ว่าจะสปอร์ตไลท์ โคมไฟไฮเบย์ โคมถนน หลอดไฟ LED โซล่าเซลล์ และเสาไฟ สนใจสอบถาม-สั่งซื้อเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติมได้ที่  Line : @NINELED

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *